เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เมื่อวานมีคนมามาก เขามาดูที่ปฏิบัติ เวลาเกษียณแล้วไง พอแล้วเกษียณแล้วนะเขารู้ตัวเขาเอง เขาบอกว่าเขาแสวงหาอยู่ ชีวิตนี้พอเกษียณแล้วเขาไม่มีสิ่งใดทำ หาความสงบของใจไง แต่เวลาหาความสงบของใจ คนเกษียณนะมันทำงานมามาก พอทำงานมามากมันประสบการณ์ของชีวิตไง
มันเหมือนคนเจ็บคนป่วย เวลาคนเจ็บคนป่วยนะ คนร่างกายแข็งแรงเข้าโรงพยาบาล เข้าไปก็ไปแค่ตรวจร่างกาย พอตรวจร่างกายแล้วก็ให้กลับ แต่คนเจ็บคนป่วยเวลาเข้าโรงพยาบาลแล้วนะ มันต้องรักษาด้วยอาการตามโรคนั้น
จิตของเราเหมือนคนป่วย เวลายิ่งอายุมากขึ้นมา ยิ่งประสบการณ์ของชีวิตยิ่งมากนะ เห็นไหม เราคุยกับเด็ก คุยกับต่างๆ เขาเชื่อฟังนะ คุยกับคนแก่เขาไม่ไว้ใจหรอก เพราะชีวิตเขาผ่านประสบการณ์ของเขามาเยอะมาก เขาไม่เชื่อ พอเขาไม่เชื่อนี่เพราะอะไรล่ะ? เพราะเขาได้สะสมประสบการณ์ของเขามา นี้เขาพยายามแสวงหาของเขา เพราะเขาบอกว่าเขาจะตายเปล่านะ
เวลาจะตายเปล่า เห็นไหม ชีวิตเรานี่ประสบความสำเร็จทางโลก รับราชการจนเป็นหัวหน้าหน่วยงาน จนเกษียณอายุ เกษียณแล้วทำอย่างไรต่อไป นี่ทุกอย่างก็ได้มาแล้ว ตำแหน่งหน้าที่ก็มีแล้ว หัวโขนก็มีแล้ว แล้วก็สละทิ้งหัวโขนแล้ว แล้วเหลืออะไรล่ะ? เหลืออะไร? แล้วก็จะไปเกิดใหม่อีกรอบหนึ่ง ก็จะมาเรียนหนังสือ มาปากกัดตีนถีบ แล้วก็จะมาทำงานกัน แล้วก็จะตายไปอีกรอบหนึ่ง อีกรอบหนึ่ง
ถ้าอีกรอบหนึ่งโดยผลของวัฏฏะ แต่ถ้าเป็นเวรกรรมนะ ได้สร้างบาปอกุศลมานะ มันไปใช้เวรใช้กรรมของมันไปนะ แต่ถ้าเรามีสติ เห็นไหม นี่เขาแสวงหากัน แต่เราก็แสวงหา พอเราแสวงหาเรามาบังคับตนเอง ถ้าเราไม่บังคับนะ เราไม่มีสติ เราไม่บังคับตนเอง
ดูสิเวลาคนจะออกกำลังกาย บางคนขี้เกียจไม่อยากออกกำลังกายนะ เวลาคนออกกำลังกายแล้วโรคภัยไข้เจ็บก็น้อยลง ร่างกายก็แข็งแรงขึ้นมา เวลาเขาออกกำลังกายทำไมเขาได้ผลตอบแทนล่ะ? เวลาเราออกกำลังกาย เราตั้งสติ เราให้จิตมันออกพัฒนาของมัน ให้จิตมันเข้มแข็งขึ้นมา พอจิตเข้มแข็งขึ้นมานะ อารมณ์ต่างๆ ความรับรู้ต่างๆ เป็นของเล็กน้อยมาก ถ้าจิตอ่อนแอ สิ่งกระทบนั้นรุนแรงมาก เพราะจิตมันอ่อนแอมันไม่มีกำลังของมัน
ถ้าจิตมีกำลังของมัน เราฝึกตรงนี้ไง ถ้าฝึกให้จิตเราเข้มแข็งขึ้นมา สิ่งใดกระทบขึ้นมา คนร่างกายแข็งแรง ทำสิ่งใดเขาก็ทำด้วยความสะดวกสบายของเขา เราแก่เฒ่านี่รู้เลยแหละ ลุกก็โอย นั่งก็โอย อยู่ก็โอย มันถึงเวลาของมัน จิตใจของเรานะมันหมดอายุขัยของมันได้ เวลาคนตายจิตออกจากร่างไป ครูบาอาจารย์ท่านบอกจิตไม่เคยตาย จิตไม่เคยตาย.. ไม่เคยตายจริงๆ ถ้าจิตมันตายนะคนเราจะเกิดมาจากไหน?
คนเราเกิดมานี่ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณ มันปฏิสนธิในไข่ ในครรภ์ ในน้ำคร่ำ ในโอปปาติกะ มันถึงเกิดมาเป็นมนุษย์เรา พอเกิดเป็นมนุษย์เราขึ้นมาแล้วมันเป็นอริยทรัพย์ เป็นสมบัติที่ทุกคนปรารถนา ที่จิตทุกดวงปรารถนา จิตเวลามันทุกข์มันยากเป็นสัมภเวสีนะ ไม่ได้กิน ไม่ได้อยู่ เร่ๆ ร่อนๆ แล้วก็ไม่ตาย ไม่หมดอายุขัย เร่ๆ ร่อนๆ ทุกข์ยากมาก เวลามันคิดขึ้นมานะก็อยากจะเกิดเป็นมนุษย์ อยากได้ทำบุญกุศล เวลาเทวดา อินทร์ พรหมจะหมดอายุขัย ก็อยากเป็นมนุษย์ อยากได้สร้างบุญกุศล แล้วเราเป็นมนุษย์นี่ทำอะไรกันอยู่?
นี่เวลาคนแก่คนเฒ่า เขามีสติปัญญาของเขา เราต้องหมั่นขวนขวายของเรา เวลาทำขึ้นมานี่มันอึดอัดขัดข้องนะ มันหงุดหงิดไปหมดเลย เวลาไม่ได้ดูแลมัน เวลาปล่อยนะมันเร่ร่อนแล้วมันก็สบายใจของมัน ดูสิอวิชชา ความเร่ร่อนของมัน เห็นไหม ความไม่ได้ผลประโยชน์สิ่งใด มันกลับพอใจของมัน เพราะมันเป็นการผัดวันประกันพรุ่งกับชีวิตของเราไง พอเราตั้งสติขึ้นมา นี่หงุดหงิด อึดอัดขัดข้องไปหมดเลย บอกว่ามันทำไมเป็นอย่างนี้ มันทำไมเป็นอย่างนี้?
เป็นอย่างนี้นะ ผ้าขี้ริ้ว ผ้าเช็ดเท้ามันสกปรก เช็ดเท้าแล้วเช็ดเท้าเล่ามันก็ไม่มีใครเห็นความสกปรกของมัน ผ้าสะอาดเวลาผงฝุ่นสิ่งสกปรกตกไปในผ้าขาว ผ้าสะอาด มันจะเห็นนะ นี่สกปรกแล้ว สิ่งนี้มันต้องซักล้างแล้ว จิตใจของเราถ้าเราเริ่มซักเริ่มดูแลมัน เห็นไหม เหมือนผ้าขาว สิ่งใดตกลงไปในผ้าขาวนั้นก็เห็นชัดเจนมาก
จิตใจได้เริ่มควบคุม ได้เริ่มดูแล มันจะดิ้นรนของมัน.. มันจะดิ้นรนของมัน เห็นไหม แต่เวลาเร่ร่อนเหมือนผ้าขี้ริ้ว นี่ผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้าแล้ว เช็ดเท้าอีก เช็ดเท้าแล้ว จิตใจของเรานะกิเลสมันเหยียบย่ำอยู่ มันเช็ดเท้าแล้ว มันขี้ มันขับ มันถ่ายอยู่ในหัวใจเรานั่นล่ะ เราไม่เห็นนะ แล้วบอกว่าอย่างนี้สบายดี เวลาจะทำความสะอาด เวลาจะดูแลมันนะอึดอัดขัดข้องไปหมดเลย
อึดอัดขัดข้องก็ต้องทำ เพราะอึดอัดขัดข้องเป็นความดี เห็นไหม อาหารที่รสจืดสนิทดี น้ำฝน น้ำต่างๆ ไม่ให้โทษแก่ร่างกาย ดูสิดูสุรา ดูเหล้าสิ ขวดหนึ่งเป็นเท่าไหร่ ทำไมเขาแสวงหากันมาล่ะ? นี่ไง อาหารรสที่มีผลเสียทางร่างกาย
นี่สิ่งที่เป็นสติ สิ่งที่เป็นสมาธิ สิ่งที่เป็นปัญญา ถ้าจิตใจนี้ได้ฝึกหัดแล้วมันอิ่มเต็มขึ้นมา ไม่หิว ไม่กระหาย พอจิตใจที่ไม่หิวไม่กระหาย มันชักเลือก ชักแยก ชักแยะ ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร เรามีศรัทธาความเชื่อนะ เราเป็นชาวพุทธในสายเลือด เราเป็นชาวพุทธตั้งแต่กรรมพันธุ์ ตั้งแต่พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เราก็เชื่อของเรามาเป็นศรัทธา แต่ไม่ใช่อจลศรัทธา ถ้าเป็นอจลศรัทธานะมันมั่นคงของมัน มั่นคงที่ไหน? มั่นคงไม่ต้องมีใครบอก มั่นคงเพราะมีสติมีปัญญา
รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร
เวลามีสติปัญญาขึ้นมาตัวนี้เป็นตัวกระทุ้ง ตัวนี้เป็นตัวต้นเหตุ เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้ เป็นพวงดอกไม้ยุแหย่ให้หัวใจนี้มันกระเพื่อมออกไป แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาจนเห็นโทษของมัน เห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียง ก็เก้อๆ เขินๆ แบบรูป รส กลิ่น เสียง อยู่อย่างนั้นแหละ รูป รส กลิ่น เสียง มันจะดับไปไหนล่ะ? มันก็อยู่ตรงนั้นแหละ แต่เพราะจิตใจของเราอิ่มเต็ม จิตใจของเรามันไม่หิวกระหาย มันถึงเห็นโทษไง
สิ่งใดถ้าเป็นประโยชน์ อย่างเช่นรถ มีทั้งคันเร่ง มีทั้งเบรก สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ เราก็เหยียบคันเร่ง เรามีนัดที่ไหน เราต้องการไปให้ถึงนัดในเวลานั้น เราก็เหยียบคันเร่งของเราไป ถ้าสิ่งไหนมันมีอุปสรรคขัดข้อง มีเบรกเราก็เหยียบเบรกของเราไว้ จิตใจถ้ามันความอิ่มเต็มของมัน เห็นไหม เวลาสิ่งที่เป็นประโยชน์ รูป รส กลิ่น เสียง ถ้ามันเป็นผลประโยชน์ นี่รูป รส กลิ่น เสียงมันเก้อๆ เขินๆ มันอยู่ที่เราใช้ประโยชน์ สิ่งใดที่เป็นประโยชน์เราก็เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ว่ารูป รส กลิ่น เสียง ดับไปเลย ปิดกั้นไปเลย ปิดหูไปเลยไม่ฟังเสียง
เสียงมันเป็นการสื่อความหมาย เราต้องสื่อความหมายกัน เราต้องคุยกัน ต้องทำความเข้าใจต่อกัน อันนั้นมันเป็นธรรมชาติ มันเป็นเรื่องปกติ แต่เวลาเสียงยุ เสียงแหย่ เสียงกระทุ้งหัวใจ เสียงที่มันพอใจ เสียงที่ทำให้หัวใจนี้ฟู เสียงอย่างนี้เสียงให้โทษ เห็นไหม ถ้าเสียงให้โทษ เราก็ปฏิเสธได้เพราะมีสติ เพราะมีสมาธิ
ถ้าไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ.. ตัวสมาธิสำคัญมาก ถ้ามีตัวสมาธิขึ้นมา พอมีสมาธิขึ้นมา เหมือนเราเข้มแข็ง เราแข็งแรงอิ่มเต็มขึ้นมา มันแยกมันแยะของมัน ถูกหรือผิด? ควรหรือไม่ควร? แต่ถ้ามันไม่มีสมาธิขึ้นมานี่ มันไหลไปกับมันนะ
ถ้าเรามีการฝึกแล้ว ถ้ามันอึดอัดขัดข้องก็ต้องทำ พอทำขึ้นมาแล้ว เราแยกแยะเองเป็นว่าถูกหรือผิด แต่ถ้าครูบาอาจารย์บอก เห็นไหม ดูสิเด็กๆ เบื่อพ่อแม่ทั้งนั้นแหละ พ่อแม่บอกถูก บอกผิดนี่อึดอัดทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเรารู้ถูกรู้ผิด.. อจลศรัทธา ศรัทธาโดยประเพณีวัฒนธรรม อจลศรัทธา เราเห็นคุณเห็นโทษของหัวใจของเรา
เราเห็นคุณเห็นโทษนะ กุศล - อกุศล ถ้าเป็นกุศลเราทำขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเรานะ เพื่อประโยชน์กับหัวใจดวงนี้ พันธุกรรมของจิตจริงๆ จิตได้ดัดได้แต่ง ได้แก้ไข เห็นไหม พันธุกรรมนี้ได้แก้ไข มันเพิ่มพูน พอกพูน แต่ตัณหาความทะยานอยากมันก็ได้สะสมพอกพูน แล้วมันก็เป็นพาลชนไป แต่ถ้าตัดแต่งแก้ไข เห็นไหม เวลาเขาทำสวนทำไร่กัน เมล็ดพันธุ์ของเขา เขาต้องคัดเอาพันธุ์ที่ดีที่สุด เอาที่เข้มแข็งที่สุด เอาที่เป็นประโยชน์ที่สุด
จิตใจของเรามีสติปัญญา เราจะคัดแต่งของเรา ถ้าคัดแต่งของเรา เห็นไหม นี่มันเป็นมุมมองไง โลกเขามองนะ ว่าพวกนี้มีเวลาว่างเกินไป ไม่รู้จะทำอะไร ไปวัดนั่งเฉยๆ วันๆ ไม่ทำอะไร เดินไปเดินมา.. นี่เพราะจิตใจเขาต่ำ พอจิตใจเขาต่ำเขาไม่รู้หรอกว่าเราทำงานอะไร เขาอาบเหงื่อต่างน้ำ เขาแสวงหาประโยชน์ เขาว่านั่นเป็นการทำงาน ไอ้เรานั่งสมาธิภาวนา เขาบอกพวกนี้ขี้เกียจ ไม่ทำอะไรเลย
แต่เวลาเป็นพระปฏิบัตินะ พวกเราเป็นนักปฏิบัติขึ้นมา เวลาหัวใจมันดิ้นแล้วเราพยายามเอาไว้นี่นะ งานอันนี้หนักหนาสาหัสสากรรจ์มาก งานนั่งเฉยๆ กำหนดลมเข้า กำหนดลมออก นั่งเฉยๆ แล้วเอาใจไว้ได้ เห็นไหม ไอ้งานอาบเหงื่อต่างน้ำมันยังสะดวกสบายกว่านะ
เวลาเราทุกข์ยาก เวลาอาบเหงื่อต่างน้ำเราก็อยากพักผ่อน เราก็อยากภาวนา แต่พอไปภาวนาเข้า พอมันคุ้นเคยเข้านะมันดิ้นแล้ว จิตใจมันดิ้นแล้ว มันมีปัญหาแล้ว ถ้ามีปัญหาขึ้นมา ถ้ามันเปลี่ยนวาระ เวลามันมีทุกข์ขึ้นมามันก็บอกว่าอยากจะไปนั่งสมาธิ พอไปนั่งสมาธิซักพักหนึ่งดิ้นรนแล้ว อ้าว.. อยากจะไปทำงานต่อ มันพลิกไปพลิกมา เห็นไหม
นี่พันธุกรรม เรารักษาเราดูแลของเรา มีสติ ครูบาอาจารย์บอกว่าสติมันปิดกั้นได้หมด ลมจะแรงขนาดไหน พายุอารมณ์จะแรงขนาดไหน ถ้ามีสติฝึกไปเรื่อยๆ สติ มหาสติ แล้วถ้าเป็นสติอัตโนมัติ.. สติอัตโนมัติคือว่า พระอรหันต์เป็นอัตโนมัติ เวลามันจะเสวยนี่มันกระเพื่อม มันสั่นไหวพร้อมกับสติเกิด มันถึงเป็นอัตโนมัติ
อย่างพวกเรานี่ฝึกแล้วฝึกเล่า สติคือความระลึกรู้ ตั้งใจไว้นี่คือสติ ซักพักมันก็เผลอ ซักพักมันก็อ่อนไป เพราะสติเป็นนามธรรม เพราะเป็นการฝึกจนมีความชำนาญ ถ้ามีความชำนาญนะเราระลึกของเรา สติพร้อมของเรา เหยียดก้าวเดินของเรา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านถึงให้ฝึก เวลาเดิน เวลาเหยียด เวลาย่างก้าว
การคู้ การเหยียดนี่มีสติ ถ้าไม่มีสตินะ ครูบาอาจารย์ท่านฝึกมา ท่านเห็นการเคลื่อนไหวของเรานี่ท่านรู้ จิตใจคึกคะนอง เวลาคึกคะนองมันแสดงออกมา ถ้าจิตใจมันเรียบง่ายมันแสดงออกมาจากการเดิน การเคลื่อนไหว ทีนี้จิตใจมันคะนองอยู่ ถ้าเราเอาไม่อยู่นะ เราก็จะใช้กิริยา เห็นไหม ข้อวัตรนี่ การเดิน การเคลื่อนการไหวให้มันมีพร้อมไว้ ถ้ามันพร้อมไว้นี่มันฝึก มันย้อนกลับมา
ข้อวัตรปฏิบัตินี่ย้อนกลับมาที่จิต แต่เวลามันเกิดมันก็เกิดจากจิต นี่มันจะย้อนกลับมาที่จิต ย้อนกลับมาที่ความรู้สึก เห็นไหม เราแก้ไขของเรา นี่เขาฝึกฝนกัน เขาแสวงหากัน เขาอยากจะประพฤติปฏิบัติ เขาบอกว่า เขาได้ข่าวว่าที่นี่ให้ธรรมะดีมาก เขาเลยมาหาที่นี่
เราบอกว่า นี่เวลาพูดว่าให้ธรรมะดีมาก เพราะคนที่เขาเห็นบวก แต่คนที่เขาเห็นลบนะ เขาบอกเรานี่เจ้าพ่อ นักเลงใหญ่
เวลานักเลงใหญ่นี่นะมันก็พูดไปเพื่อเสียงดัง เวลาเสียงดัง.. เหมือนเด็กนี่นะ เด็กถ้ามันเผลอ ถ้าเราพูดนุ่มนวลกับเขา บางทีเขาก็เข้าใจไม่ได้ แต่ถ้าเสียงดังเขาก็ตกใจ แต่การตกใจเขาก็มีสติกลับมา เขาจะไม่ทำสิ่งที่เขาผิดพลาดออกไป.. นี้มันเป็นประโยชน์ ถ้าคนเห็นเป็นประโยชน์ มันก็เป็นประโยชน์ ถ้าคนเห็นเป็นโทษ มันก็เป็นโทษ
กิริยาการแสดงออกตีได้เป็นบวกและลบ แต่เจตนาหรือจิตใต้สำนึกที่แสดงออกมา เรารู้ไม่ได้ เจตนาที่แสดงออกมาจากจิตที่ไม่มีลับลมคมใน สิ่งนั้นมันเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ แต่กิริยาการแสดงออกมา เห็นไหม เราเห็นแต่ความรุนแรงๆ น้ำป่ามันก็รุนแรง น้ำไหลนิ่ง น้ำต่างๆ มันมีกิริยาของมัน มันมีความเป็นไปของมัน เราจะใช้ประโยชน์กับมันมากน้อยแค่ไหน อยู่ที่เราจะใช้ประโยชน์ แล้วจิตใจของเรานี่ ถ้าวุฒิภาวะมันสูงขึ้นๆ นะ มันจะรู้มันจะเห็นของมัน
อยู่ที่วุฒิภาวะ วุฒิภาวะหยาบๆ นี่การแสดงออกเขาก็ว่าสิ่งนั้นเป็นโทษๆ หมดแหละ เพราะมันอึดอัดขัดข้องในหัวใจ เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ เขาแสวงหากันแสวงหาที่ไหน? แสวงหาที่ใจ เราจะเปิดเหมืองของเราเอง เราจะเปิดเหมืองค้นหาเพชรนิลจินดา ทรัพย์สมบัติของเราอันประเสริฐ ฉะนั้น เราจะต้องตั้งสติ แล้วหาที่แล้วเปิดเหมืองให้ได้ แล้วจะเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง